วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2557

มือใหม่จัดสวน เรื่องต้นไม้

สำหรับมือใหม่ที่ทำสวนตกแต่งบ้าน สิ่งแรกที่ทุกคนต้องคิดถึงคงนี้ไม่พ้น "ต้นไม้" อย่างแน่นอน วันนี้เรามาพูดถึงเรื่องต้นไม้แบบไหน น่าจะเอามาแต่งสวนบ้านของเราดี

ส่วนมากที่นิยมนำมาแต่งสวนกันจะเป็นพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับ ที่จะปลูกในบ้าน ลองมาดูกันว่ามีอะไรบ้าง

1. พันธุ์ไม้ดอกล้มลุก เป็นพันธุ์ไม้ที่ไม่มีไม้เนื้อแข็ง มีขนาดไม่สูง อย่างไม้ดอกล้มลุกอายุ 1 ปี ส่วนมากหลังจากออกดอกแล้วมักจะตาย เช่น ดาวเรือง หงอนไก่ สร้อยไก่ เทียนดอก บานชื่น เบญจมาศ บานไม่รู้โรย ดาวกระจาย ผีเสื้อ บานเย็น แพรเซี่ยงไฮ้ พยับหมอก ฯลฯ ไม้ดอกล้มลุกอายุหลายปี ไม้ดอกพวกนี้จะมีอายุ 2 ปีขึ้นไป เช่น บัวสวรรค์ พลับพลึง พุทธรักษา ฯลฯ

2. พันธุ์ไม้ดอกพุ่มต่ำ เป็นพืชที่มีเนื้อไม้ มีลำต้นที่ตั้งตรงสูงได้ไม่เกิน 3 เมตร กิ่งก้านที่แตกออกไม่สูงจากพื้นมากนัก มีอายุหลายปี เช่น พุดตาน ยี่โถ ยี่เข่ง รำเพย เข็มต่างๆ พุดต่างๆ ยี่หุบ ชวนชม รัก มณฑา พู่ระหง ฯลฯ

3. พันธุ์ไม้เถาหรือไม้เลื้อย เป็นพืชที่มีเนื้อไม้ หรือไม่มีเนื้อไม้ก็ได้ จะต้องยึดเหนี่ยว เกาะ พาดพิงต้นไม้ รั้ว หรือเรือนต้นไม้ ไม้เถาเลื้อยล้มลุก มีอายุประมาณ 1 ปี เช่น พวงชมพู ไก่ฟ้า ฟักแฟง ฯลฯ ไม้เถาเลื้อยยืนต้น เป็นเถาเลื้อยมีอายุหลายปี เช่น เฟื่องฟ้า บานบุรี ช่อม่วง พวงแสด สร้อยอินทนิล สายหยุด เล็บมือนาง เสาวรส ฯลฯ

4. พันธุ์ไม้ใบ เป็นไม้ที่ใบไม่สูงนัก ใช้ทำรั้ว ทำลายริมถนน หรือปลูกเป็นไม้ตกแต่งสวน

คราวนี้หลายๆ คนคงคิดไอเดียแต่งสวนกันออกแล้วสินะ ^^ ว่าจะใช้ต้นไม้แบบไหนดี ไม่ว่าจะเป็นสวนหิน สวนน้ำ ก็เอาพันธุ์ไม้เหล่านี้มาใช้รวมกันได้หมดเลย

via: doogarden

วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2557

ทำระบบน้ำคลายร้อนให้ต้นไม้

     ด้วยอากาศร้อนนๆ แบบนี้ใครๆ ก็คงไม่อยากออกไปไหนใช่มั้ยครับ แล้วรู้หรือเปล่าว่า ต้นไม้ ก็ร้อนเหมือนกันนะแต่ด้วยเราเองก็ยังไม่อยากจะออกจากบ้านเลย ทำไงดี มาดูไอเดียดีๆ จาก ป้างามขอโชว์ "ทำระบบน้ำคลายร้อนให้ต้นไม้" เอ๋..!! มันเป็นยังไงล่ะ ไปดูกัน

เตรียมอุปกรณ์ ดังนี้

- ท่อพีวีซี แบบหนา     - เลื่อย
     - ข้อต่อท่อพิวีซี          - หัวพ่นน้ำ
- กาวร้อน                    - สว่าน

เมื่อเตรียมของครบแล้ว มาลุยกันเลย....

เริ่มจาก มาวัดความยาวของท่อพีวีซีก่อนว่าจะใช้เท่าไหร่

จากนั้น ลองทดสอบด้วยการเจาะรูดูก่อนเพื่อความแน่ใจ ว่ารูที่เจาะไม่ใหญ่ไป หรือเล็กไป

แล้วทีนี้ลองเอาตัวหัวพ่นน้ำมาใส่ดู เมื่อใส่แล้วต้องให้สนิดๆ ถ้าเจาะรูปใหญ่เกินไป น้ำจะรั่ว
แต่ถ้ายังรั่วอีกก็ให้ใช้กาวช่วยอุดตรงรู้ให้พอดี

ที่นี้ก็ลองเอามาประกอบกันแล้ว ทดลองใช้ดู


เพียงเท่านี้ ทั้งเราและต้นไม้ก็ไม่ร้อนแล้ว ^^

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จากป้างาม บล็อคแก็งค์
ยังมี Idea ตกแต่งสวนแต่งบ้านแปลกๆใหม่ๆ ที่น่าสนใจอีกเพียบ หรืออยากจะร่วมสนุกแชร์ 
สามารถเข้ามาดูได้ที่ https://www.facebook.com/IdeasGarden

วันอังคารที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ต้นคริสต์มาสของฉัน

.............................................................................
☆※>o(´ー´*)Merry*Christmas(*´ー´)o<※☆:゚* 
.............................................................................
ต้นครัสต์มาส แบบง่ายๆ ในสไตล์ของคุณเอง มาดูกันซิว่า เราต้องเตรียมอะไรบ้าง?


1. สำคัญที่สุดเลย ต้นคริสต์มาส แนะนำใช้ต้นสน หรือ ต้นไทรเกาหลี
 
ต้นสนเป็นที่นิยมสำหรับนำมาทำต้นคริสต์มาสอยู่แล้ว ส่วนต้นไทรเกาหลีเป็นไทรประดับส่วนใหญ่นิยมเอาไปทำรั้ว แต่ด้วยคุณสมบัติที่สามารถตัดแต่งทรงได้ง่ายจึงเหมาะสำหรับนำมาดัดแปรงทำเป็นต้นคริสต์มาส ได้เหมือนกัน

....................

2. ไฟต้นคริสต์มาส อันนี้ก็สำคัญใช่ย่อย เพื่อเพิ่มสีสันให้ต้นคริสต์มาสให้สดใส สวยงาม

....................

3. ของประดับต้นคริสต์มาส อย่างเช่น สายรุ่ง, ลูกบอล, กล่องของขวัญ


เท่านี้เราก็จะได้ต้นคริสต์มาสแล้ว ไหนๆ ใครจัดต้นคริสต์มาสเสร็จแล้ว ถ่ายรูปเอามาโชว์กันบ้างนะ


อ่าเกือบลืมๆ วางถุงเท้ากับคุ๊กกี้ไว้ให้คุณซานต้าด้วยล่ะ เดี๋ยวจะอดของขวัญกันพอดี คิคิ


ยังมี Idea ตกแต่งสวนแต่งบ้านแปลกๆใหม่ๆ ที่น่าสนใจอีกเพียบ หรืออยากจะร่วมสนุกแชร์ 
สามารถเข้ามาดูได้ที่ https://www.facebook.com/IdeasGarden

วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ดอกดาวเรือง

      ดาวเรือง เป็นไม้ดอกที่คนไทยนิยมปลูกกันมาก เนื่องจากเมล็ดมีขนาดใหญ่ปลูกง่าย งอกเร็ว ต้นโตเร็ว และแข็งแรงไม่ค่อยมีโรคหรือแมลงรบกวน ให้ดอกเร็ว ดอกดก มีหลายชนิดและหลายสี รูปทรงของดอกสวยงาม สีสันสดใส บานทนนานหลายวัน สามารถปักแจกันได้นาน 1-2 สัปดาห์ ให้ดอกในระยะเวลาสั้น คือ ประมาณ 60-70 วัน หลังปลูก ดังนั้นในการปลูกดาวเรืองสามารถกำหนดระยะเวลาการออกดอกให้ตรงกับเทศกาลสำคัญได้จึงมีผู้นิยมปลูก และใช้ดาวเรืองกันมาก นอกจากนี้ยังสามารถปลูกได้ตลอดปี และปลูกได้ทุกจังหวัดในประเทศไทย ดาวเรืองเป็นไม้ดอกที่ทำรายได้ให้กับผู้ปลูกสูง ในปัจจุบันการปลูกดาวเรืองนอกจากปลูกเพื่อตัดดอกขายแล้ว ยังนิยมปลูกในกระถางหรือถุงพลาสติก เพื่อประดับตกแต่งอาคารสถานที่ และปลูกเพื่อตัดดอกส่งโรงงานอาหารสัตว์อีกด้วย

     การปลูกดาวเรืองในประเทศไทย เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยใดไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด ทราบเพียงว่าดาวเรืองไม่ได้มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศไทย แต่มีการนำเข้าพันธุ์ดาวเรืองจากต่างประเทศมาปลูกเป็นเวลานานจนสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมในประเทศไทยได้ดี มีการกระจายตัวขอสายพันธุ์มากทั้งทางด้านรูปทรงดอก ขนาดดอก ลักษณะการเจริญเติบโต ตลอดจนการต้านทานต่อโรคและแมลง ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกดาวเรืองประมาณ 4,000 ไร่ มีแหล่งปลูกทีสำคัญ คือ จังหวัดพะเยา ลำปาง นนทบุรี กรุงเทพฯ ราชบุรี สมุทรสาคร สุพรรณบุรี และอุดรธานี

การปลูกดาวเรือง
    1. ไถเตรียมดิน หว่านปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักลงไป ประมาณ 1 ตัน/ไร่ ยกร่องแปลงปลูกกว้าง 1 เมตร รดน้ำแปลงไว้ล่วงหน้า 1 วัน

    2. ขุดหลุมกว้าง 15 เซนติเมตร แปลงละ 3 แถว ระยะระหว่างแถว 30 เซนติเมตร ระยะระหว่างต้น 30 เซนติเมตร ใส่ปุ๋ยทริบเบิ้ลซุปเปอร์ฟอสเฟส หรือสูตร 15-15-15 ประมาณ 1    ช้อนชา รองก้นหลุม แล้วเกลี่ยดินข้างหลุมมากลบปุ๋ยเล็กน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้รากดาวเรืองสัมผัสปุ๋ยโดยตรง

    3. นำต้นกล้าที่มีอายุ 7-10 วัน ( นับจากวันเพาะเมล็ด ) โดยแยกต้นกล้าให้มีวัสดุเพาะ หรือดินหุ้มติดรากมาด้วย เพื่อป้องกันรากกระทบกระเทือน นำมาปลูกในแต่ละหลุมที่เตรียมไว้ รดน้ำให้ชุ่ม

    4. หลังจากนั้น ต้องรดน้ำเช้า-เย็น ประมาณ 7 วัน ซึ่งต้นกล้า จะตั้งตัวได้ดี แล้วจึงรดน้ำเพียงวันละ 1 ครั้ง ในตอนเช้า ในช่วงที่ดอกดาวเรืองเริ่มบานไม่ควรรดน้ำให้โดนดอก เพื่อป้องกันดอกเป็นโรค

    5. เมื่อดาวเรืองอายุ 15 และ 25 วัน ควรใส่ปุ๋ย 15-15-15 ในอัตรา 1 ช้อน : ต้น เมื่ออายุ 35 และ 45 วัน ใส่ปุ๋ยสูตร 12-24-12 ในอัตราเดียวกัน  โดยวิธีฝังลงในดินตื้นๆ ประมาณ ?  นิ้ว ห่างโคนต้น 6 นิ้ว แล้วรดน้ำให้ชุ่มทุกครั้งที่ใส่ปุ๋ย

    6. ช่วงดาวเรืองอายุ 21-25 วัน ซึ่งเป็นระยะที่ต้นมีใบจริงขนาดใหญ่ ประมาณ 4 คู่ และส่วนยอดมีใบเล็กๆ 1-2 คู่ จะต้องปลิดยอดทิ้งเพื่อให้แตกกิ่งข้าง โดยใช้มือซ้ายจับคู่ใบบนสุดที่จะเหลือไว้ แล้วใช้มือขวาดึงส่วนยอดลงทางด้านข้างจนหลุดออกมา หลังจากนั้น 5-7 วันตาข้างจะเริ่มแตกและเจริญเป็นกิ่งใหม่ ซึ่งจะติดตุ่มดอกทั้งที่ตายอดปลายกิ่งและตาข้าง

    7. หลังจากปลูก 40-45 วันในแต่ละกิ่ง เมื่อดอกยอดมีขนาดเท่าเมล็ดข้าวโพดดอกข้างมีขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียว ต้องรีบปลิดดอกข้างออกให้หมดภายใน 2-3 วัน คงเหลือดอกยอดไว้ดอกเดียว  เพื่อให้ดอกมีขนาดใหญ่

    8. หลังจากนั้นประมาณ 20 วัน ( อายุ 60-65 วัน ) ก็ตัดดอกไปจำหน่ายได้ ซึ่งจะได้ประมาณ 10-12 ดอก/ต้น

โรคและแมลงที่สำคัญต่อดาวเรือง
   1. โรคเหี่ยว เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อราไฟทอปทอรา (Phytoptora) มักเกิดกับดาวเรืองที่ดอกกำลังเริ่มทยอยบาน ระยะแรกมีอาการคล้ายกับดาวเรืองขาดน้ำ กล่าวคือ อาการเหี่ยวจะแสดงในตอนกลางวันส่วนกลางคืนอาการจะปกติ หลังจากนั้นประมาณ 3 -4 วัน ดาวเรืองก็จะเหี่ยวทั้งด้นและตายไปในที่สุด
    การป้องกันกำจัด ใช้สารเคมีป้องกันและกำจัดเชื้อรา เช่น แมนโคเซ็ป ฉีดพ่นสลับกับคาร์เบนดาซิมประมาณสัปดาห์ละครั้ง และถ้าพบมากต้นที่เป็นโรคและตายในแปลงต้องรีบกำจัดทิ้ง

   2. โรคราแป้ง เกิดจากเชื้อราชนิดหนึ่งลักษณะอาการ คือจะเห็นสปอร์ของเชื้อราเป็นฝุ่นสีขาว ๆ ตามใบของดาวเรือง ทำให้ใบหยิก การเจริญเติบโตชะงัก ถ้าเป็นมากอาจทำให้ต้นตายในที่สุด
    การป้องกันกำจัด โดยการพ่นด้วยสารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อรา เช่น แมนโคเซ็ป ไดแทน-เอ็ม 45 ประมาณสัปดาห์ละครั้ง

   3. โรคดอกไหม้ เกิดเชื้อราเข้าทำลายดอกดาวเรือง ทำให้ดอกเป็นสีน้ำตาลจนไม่สามารถเก็บเกี่ยวได้
    การป้องกันกำจัด ควรฉีดพ่นด้วยสารเคมีแมนโคเซ็ปหรือดาโคนิล โดยฉีดพ่นให้ทั่วทั้งแปลง

   4.  เพลี้ยไฟ เข้าทำลายโดยดูดกินน้ำเลี้ยงจากยอดอ่อนและใบอ่อน จะเห็นมีรอยขีดตามใบหรือกลีบเลี้ยงของดอก เพลี้ยไฟจะระบาดมากในช่างฤดูร้อน
    การป้องกันกำจัด ใช้สารเทมมิค เอ จี (Temic A.G.) ฝังรอบ ๆ โคนต้น โดยฝังให้ห่างโคนต้นประมาณ 1 ฝ่ามือ หรือฉีดพ่นด้วยสารโตกุไธออนสัปดาห์ละครั้ง

   5.  หนอนกระทู้หอม เป็นหนอนของผีเสื้อกลางคืน จะเข้าทำลายในขณะที่ดอกดาวเรืองเริ่มบานหนอนจะกัดกินดอกดาวเรือง ทำให้ดอกแหว่งเสียหาย
    การป้องกันกำจัด ฉีดพ่นด้วยสารเคมีกำจัดแมลง เช่น แลนเนท, แคสเคต หรือใช้เชื้อไวรัสทำลายแมลงพวกเอ็น.พี.วี (NPV) ฉีดพ่นในแปลงที่มีหนอนกระทู้หอมระบาด



การดูแลรักษาดอกดาวเรือง
      1. หลังจากย้ายปลูกลงแปลงครบ 10 วันหรือสังเกตจากดาวเรืองมีใบจริงจำนวน 3 คู่ ให้เด็ดยอดดาวเรืองออก เพื่อให้เกิดการแตกของกิ่งข้างของดาวเรือง โดยวิธีการเด็ดยอดคือ ใช้นิ้วชี้และนิ้วโป้งจับตรงโคนของยอดดาวเรือง ยอดบนสุด แล้วเด็ดยอดออกพยายามเด็ดยอดให้ชิดโคนยอดและให้ยอดหลุดอย่าให้เกิดบาดแผลจาก การเด็ดยอด (การเด็ดยอดดาวเรืองควรเด็ดยอดในช่วงเช้าเนื่องจากดาวเรืองจะอวบน้ำอยู่ และหลังจากเด็ดยอดควรพ่นยาป้องกันกำจัดเชื้อรากลุ่ม ไดเทน)

      2. หลังจากเด็ดยอดแล้ว ให้ใส่ปุ๋ยสูตร 15-0-0 อัตรา 2 กรัม (1 ช้อนชา) ต่อต้น โดยหว่านปุ๋ยรอบโคนต้นห่างจากโคนต้นประมาณ 20 ซม. (หนึ่งฝามือ) พร้อมกับพูนโคนและกำจัดวัชพืช (ในช่วงนี้หากเป็นฤดูฝนให้เริ่มทำค้างสำหรับป้องกันต้นดาวเรืองล้ม เพราะหากทำค้างดาวเรืองเกินไปจากช่วงนี้ไปรากของดาวเรืองจะเจริญเติบโตมาก จะทำให้ในการทำไม้หลักปักค้างดาวเรือง โดนใส่รากดาวเรือง

     3. หลังจากย้ายปลูก 35-40 วัน (เริ่มเห็นตุ่มดอก) ให้ใส่ปุ๋ยสูตร 15-0-0 อัตรา 2 กรัม (1 ช้อนชา)ต่อต้น ร่วมกับปุ๋ยสูตร 0-0-60 อัตรา 1 กรัม(ครึ่งช้อนชาต่อต้น) โดยหว่านปุ๋ยรอบโคนต้นห่างจากโคนต้นประมาณ 20 ซม. (หนึ่งฝามือ) พร้อมกับพูนโคนและกำจัดวัชพืช ในกรณีที่ต้องใช้ปุ๋ยสองสูตรรวมกันให้ผสมก่อนแล้วค่อยใส่ลงในแปลง

      เช่น ผสมปุ๋ย 15-0-0 อัตรา 1,000 กรัม (1 กิโลกรัม) รวมกับปุ๋ยสูตร 0-0-16 อัตรา 500 กรัม (ครึ่งกิโลกรัม) สามารถนำไปใช้กับต้นดาวเรืองได้ทั้งหมด 500 ต้น ต้นละ 3 กรัม

      ในกรณีที่ไม่สามารถหาปุ๋ยสูตร 15-0-0 หรือ 0-0-60 ได้ให้ใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 16-16-16 แทนโดยใช้ในอัตรา 3 กรัม (ครึ่งช้อนโต๊ะ) ต่อต้นทั้งสองระยะ หลังการให้ปุ๋ยจะต้องให้น้ำตามทุกครั้งเสมอ

      4. การพ่นปุ๋ยทางใบและอาหารเสริม ช่วงหลังจากย้ายปลูก 35-40 วัน (ช่วงเป็นตุ่มดอก) ให้เริ่มพ่นอาหารเสริมพวก แคลเซียม – โบรอน และอาหารเสริมต่างๆ ยกเว้นธาตุอาหารเสริมกลุ่มที่เป็นธาตุเหล็ก (Fe) โดยพ่นทุกๆ 3-4 วันก่อนที่ตุ่มดอกจะเริ่มเห็นสีดอก ช่วงหลังจากย้ายปลูกแล้วประมาณ 70-75 วัน (เก็บดอกแล้วประมาณ 3-4 มีด) ให้พ่นปุ๋ยทางใบสูตร 2:2:3 (N:P:K) เช่นปุ๋ยทางใบสูตร 20:20:30 โดยพ่นทุก 5-7 วันประมาณ 2-3 ครั้ง หลังจากพ่นครั้งแรก

       5. การให้น้ำดาวเรือง ดาวเรืองเป็นพืชที่ชอบการให้น้ำในลักษณะให้น้อยๆ แต่บ่อยๆ ครั้งหรือชอบชื้นแต่ไม่ชอบแฉะและน้ำท่วมขัง


การให้น้ำและใส่ปุ๋ยดาวเรือง




คู่มือเทคนิคการผลิต "ดาวเรือง" คุณภาพ


Credit : marigoldasia.com, sotus.co.th
ยังมี Idea ตกแต่งสวนแต่งบ้านแปลกๆใหม่ๆ ที่น่าสนใจอีกเพียบ หรืออยากจะร่วมสนุกแชร์ 
สามารถเข้ามาดูได้ที่ https://www.facebook.com/IdeasGarden

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

หญ้าแบบไหน ที่เราอยากได้

มารู้จักกับหญ้าจัดสวนกันว่ามีอะไรบ้าง

สำหรับวันนี้ขอพาคุณผู้อ่านทุกท่านไปรู้จักกับหญ้า 4 ชนิดที่นิยมปลูกในเมืองไทย ได้แก่ หญ้านวลน้อย หญ้ามาเลเซีย หญ้าเบอร์มิวด้า และหญ้าญี่ปุ่น ซึ่งหญ้าแต่ละชนิดก็จะมีลักษณะที่ต่างกันออกไปเหมาะกับพื้นที่แตกต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือการดูแลความเอาใจใส่เมื่อเริ่มปลูกต้องรดน้ำ 3 เวลา เช้า กลางวัน เย็น เพื่อให้ต้นหญ้าฟื้นตัวเร็วที่สุด และสามารถเติบโตต่อไปได้



หญ้านวลน้อย
          เป็นหญ้าพื้นเมืองของประเทศไทย ลักษณะใบมีขนาดปานกลาง ปล้องสั้น และมีช่อดอกที่ค่อนข้างยาว เป็นหญ้าได้รับความนิยมปลูกมากที่สุดในเมืองไทย หญ้านวลน้อยเป็นหญ้าที่ชอบแดดจึงสามารถขึ้นในพื้นที่กลางแจ้งได้ดี ทนต่อการเหยียบย่ำ จึงเหมาะกับการปูเป็นพื้นสนาม มีวิธีดูแลรักษาที่ไม่ยุ่งยากมากนักแต่ควรจะหมั่นรดน้ำในช่วงฤดูร้อน เพราะอาจจะทำให้หญ้ามีใบเหลืองได้



หญ้ามาเลเซีย
          เป็นหญ้าที่คนไทยปลูกกันในสวนยางพาราของภาคใต้ซึ่งติดอยู่กับมาเลเซีย และเมื่อมีการปลูกขายจึงเรียกกันว่า หญ้ามาเลเซีย หญ้าชนิดนี้จะมีลักษณะใบใหญ่มากที่สุดมีเขียวอ่อน ชอบแดดแบบร่ำไร ขึ้นได้ดีตามร่มไม้ ชายคาบ้าน และเป็นหญ้าที่ต้องการน้ำมาก จึงควรรดน้ำทุกวัน




หญ้าเทียม
          ในปัจจุบันหญ้าเทียมได้รับความนิยมมาก เพราะมีความคงทนไม่ต้องรดน้ำ ใส่ปุ๋ยหรือตัดเมื่อหญ้าเริ่มยาว แต่ก็จะให้ผิวสัมผัสที่แตกต่างจากหญ้าจริงด้วยเช่นกัน สำหรับหญ้าเทียมที่นิยมใช้ในบ้านจะเป็นหญ้าเทียมชนิดใบสั้น ซึ่งดูแลง่ายกว่าเพียงแค่ใช้ไม้กวาด กวาดฝุ่นละอองหรือใช้เครื่องดูดฝุ่นก็ได้ค่ะ



หญ้าเบอร์มิวด้า
          มีลักษณ์ใบเรียวเล็ก และยาว มีสีเขียวเข้ม ต้องการแสงแดดมากจึงปลูกในที่แจ้งได้ดีทนต่อการเหยียบย่ำ นิยมนำไปปลูกในสนามกอล์ฟ แต่สามารถนำประยุกต์ปลูกในสวนได้เป็นหญ้าต้องการการดูแลสูง ต้องหมั่นรดน้ำ และเนื่องจากเจริญเติบโตเร็ว จึงอาจจะกลายเป็นวัชพืชได้






หญ้าญี่ปุ่น
          เป็นหญ้าที่มีลักษณะใบใกล้เคียงกลับนวลน้อย แต่มีใบเล็กกว่า และแข็งกระด้างมากกว่ามีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบแบบจูเรีย แต่นิยมนำมาใช้จัดสวนญี่ปุ่นจึงเรียกว่าหญ้าญี่ปุ่น เป็นหญ้าที่ชอบแดดและต้องการน้ำมาก เป็นหญ้าที่โตซ้ำแต่เมื่อขึ้นแล้วก็จะหนาแน่นมากจนวัชพืชอื่นๆ ไม่สามารถแทรกขึ้นมาได้





Credit : คุณสุคนธา ฉ่ำมิ่งขวัญ
ยังมี Idea ตกแต่งสวนรอบๆ บ้านแปลกๆใหม่ๆ ที่น่าสนใจอีกเพียบ
หรืออยากจะร่วมสนุกแชร์ 
 สามารถเข้ามาดูได้ที่ https://www.facebook.com/IdeasGarden

วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

กุหลาบสีแดง

กุหลาบ



การปลูกกุหลาบไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย เพียงแต่เราต้องใจเย็นนิดนึง รอเวลาว่าที่เหมาะสมเสียก่อนแล้วค่อยปลูก ไม่ใช่ว่าซื้อมาจากสวนสดๆ ร้อนๆ ก็เอาลงกระถางเลย รับรองว่าเสร็จทุกรายไป :) แรกๆ ผมก็เป็นอย่างนี้แหละครับ ทำอย่างนี้พอดอกหมด ต้นก็เตรียมตายได้เลย มาดูขั้นตอนกันเลยดีกว่าจะได้ไม่เสียเวลา เวลาเป็นเงินเป็นทอง

อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม
1. ต้นกุหลาบที่ถูกเลือกมาเป็นอย่างดี อิอิ
2. ดินสำหรับปลูกกุหลาบโดยเฉพาะ อันนี้ไม่มีสูตรตายตัวนะครับ ถ้าเราไปถามตามร้านขายต้นไม้ เค้าก็มักจะตอบว่าใช้ได้หมดแหละซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่เลย เรื่องดินเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่สุดเลยก็ว่าได้ในการปลูกกุหลาบ แล้วจะเลือกยังไง ? เอาง่ายๆนะครับ เลือกดินที่หลังจากปลูกไปแล้วในอนาคตจะไม่กลายสภาพเป็นดินเหนียวก็แล้วกัน
3. กระถางดินเผาที่ควรมีความกว้างของปากกระถางอย่างน้อย 1 ฟุต เพราะกุหลาบเป็นพืชที่กินแร่ธาตุในดินมาก ทำให้สารอาหารในดินหมดเร็ว และเราก็จะได้ไม่ต้องเปลี่ยนกระถางบ่อยๆ หากต้นโตขึ้น
4. สตาร์เกิ้ล จี สำหรับรองก้นกระถาง หรือหลุมถ้าปลูกลงดิน เพื่อป้องกันหนอนมากัดกินใบและดอก
5. ปุ๋ย ต่างๆ แล้วแต่ความชอบครับ เน่นให้เป็น บำรุงใบแล้วกัน เพราะถ้าใบดี ต้นก็จะแข็งแรง ดอกก็จะมาเองโดยไม่ต้องร้องขอ
6. ขลุยมะพร้ามป่นสำหรับคลุมบนผิวดินเพื่อรักษาความชุ่มชื้น อันนี้ต้องเอามาแช่น้ำทิ้งไว้ซัก 1 คืน ก่อนใช้นะครับ



ขั้นตอนการปลูก
1. เมื่อเราซื้อต้นกุหลาบมาไม่ว่าจะพันธุ์อะไรก็ตาม ให้พักต้นไว้ประมาณ 7 วัน ตัดดอกที่ติดมากับต้นปักแจกันให้หมดทั้งตูมทั้งบาน อย่าเสียดาย (นับลงมาจากดอก 5 ใบ แล้วตัด) ก่อนเอาลงกระถางหรือเอาลงดิน ไม่ต้องใส่ปุ๋ยบำรุงใดๆ ทั้งสิ้นในช่วงนี้ เพียงแต่รดน้ำตอนเช้าทุกวันเท่านั้นพอ การรดน้ำต้นกุหลาบ ก็ควรรดที่โคนต้นเท่านั้นนะครับ ไม่ใช่ฉีดน้ำเป็นสายรดทั้งต้น เพราะจะทำให้ต้นกุหลาบเป็นโรคง่าย "อันนี้ต้องจำไว้เลยนะครับ ไม่จำเป็นอย่ารดน้ำให้โดนดอกหรือใบ"
2. โดยภายใน 7 วันอันตรายนี้ ก็ให้ค่อยๆ ขยับต้นกุหลาบให้โดนแดนวันละนิด เช่น วันแรกให้วางต้นกุหลาบให้อยู่ในตำแหน่งที่โดนแดดประมาณ 1 ชั่วโมงพอ แล้วเพิ่มไปวันละชั่วโมง จนครับ 7 วัน ก็ประมาณ 6-8 ชั่วโมงพอดี
3. หากไม่มีอะไรผิดพลาดจะเริ่มสั่งเกตเห็นว่ากุหลาบเริ่มแตกตาใหม่ๆ ออกมาใกล้กับบริเวณที่เราตัดดอกทิ้งในขั้นตอนที่ 1 แสดงว่าต้นแข็งแรงดี ถ้าไม่เป็นตามนี้ก็อาจจะมีอาการใบเหลือง ซึ่งแสดงว่าขาดน้ำ (รดน้ำไม่ชุ่มพอ)
4. วันที่ 8 ถ้าพร้อมก็ปลูกได้เลย โดยให้เอาต้นกุหลาบออกจากถุงเพาะ หรือกระถางเดิมซึ่งใบเล็ก แล้วนำไปใส่กระถางใบใหม่ โดยใส่ดินรองที่ก้อนกระถางก่อนประมาณ 3 นิ้ว กดให้แน่น วางต้นกุหลาบลงไปพร้อมดินเดิมที่ติดต้นมา เทดินที่เหลือใส่ ค่อยๆ อัด เหลือพื้นที่ไว้คลุมขลุยมะพร้าวที่แช่น้ำไว้ด้วยด้ว
5. ลองรดน้ำดู น้ำควรไหลผ่านชั้นดินลงไปได้ดี แต่ไม่เร็วเกินไป และไม่ช้าเกิน 10 นาที ถ้าเร็วเกินดินก็จะรักษาความชื้นไว้ไม่ดี แต่ถ้าช้าเกินก็จะทำให้รากเนา ซึ่งเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้จริงๆ :)
6. กระถางกุหลาบควรถูกวางในตำแหน่งที่ได้รับแสงแดดวันละอย่างน้อย 6 ชั่วโมง


หากต้องการให้สวนสวยตลอดและยาวนานลองให้ Osmocote เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยดูแลสวยสวยๆ ของคุณได้
//อ่านลายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sotus.co.th

Credit: Roses Planting
ยังมี Idea ตกแต่งบ้านและสวนแปลกๆใหม่ๆ ที่น่าสนใจอีกเพียบ
หรืออยากจะร่วมสนุกแชร์ 
 สามารถเข้ามาดูได้ที่ https://www.facebook.com/IdeasGarden